Bitcoin ทำจุดสูงสุดใหม่ของปีนี้ หลังคนเสียศรัทธาระบบการเงินเก่า แต่ราคาเหรียญจะไปต่อได้จริงหรือ
Bitcoin ทำจุดสูงสุดในรอบ 9 เดือน หลังผู้คนเริ่มสูญเสีย ‘ศรัทธาในระบบการเงินแบบเก่า’ แต่ราคาเหรียญมีโอกาสไปต่อได้มากน้อยแค่ไหนกัน
‘บิตคอยน์’ (Bitcoin) ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของปีนี้ (2566) ที่บริเวณ 28,500 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับทองคำที่พุ่งนิวไฮทะลุ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ สวนทางกับปี 2565 ที่บิตคอยน์ คริปโตฯ และทองคำ เป็นขาลงมาตลอดปี
การพุ่งขึ้นของราคาเหรียญ เกิดขึ้นหลังธนาคารชั้นนำของโลกอย่าง Silicon Valley Bank (SVB), Signature Bank (SB) และ Credit Suisse (CS) ที่ล้มลง จนธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้นต้องเข้าช่วยเหลือ
เหตุการณ์ข้างต้น สั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้คนในระบบการเงินปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะไม่แน่ว่าเงินฝากที่เราทำงานเก็บออมมาตลอดชีวิต อาจหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ในพริบตา
นำไปสู่การปรับมุมมองของตลาด ที่ต้องการเก็บรักษาความมั่งคั่งไว้ในสินทรัพย์รูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น ทองคำ ซึ่งมีมูลค่าในตัวเอง รวมถึง ‘บิตคอยน์’ ที่บางคนให้การยอมรับว่าเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ ใช้แทนการเก็บเงินที่เป็นกระดาษไว้กับธนาคาร
สำหรับมุมมองของคนในวงการ ล่าสุด ‘บาลาจี ศรีนิวาสาน’ (Balaji Srinivasan) อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของ Coinbase ประกาศเดิมพันกับ ‘เจมส์ เมดล็อค’ (James Medlock) นักประชาธิปไตยทางสังคมผ่านทางทวิตเตอร์
โดยเชื่อว่าสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จนทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นแตะ 1 ล้านเหรียญ (ราว 34 ล้านบาท) ภายใน 90 วัน หากไม่เป็นตามที่คาด จะจ่ายเดิมพันสูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 70 ล้านบาท)
ซึ่งมุมมองต่อบิตคอยน์ในตอนนี้ ถือว่าร้อนแรงจนเกินไปหรือไม่นั้น ก็คงตัดสินได้ยาก
หากเทียบกลับไปในปี 2021 (2564) ที่ราคาเหรียญเคยนิวไฮแถวๆ 69,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงที่สภาพคล่องล้นระบบเศรษฐกิจนั้น กระแสบิตคอยน์ตอนนี้ก็ยังถือว่าเบากว่าช่วงนั้นอยู่พอสมควร
แต่ถ้ามองไปข้างหน้า บิตคอยน์ก็เหมือนจะมีความหวัง เพราะการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ระหว่างวันที่ 21-22 มี.ค. ตลาดคาดว่าจะเห็นการปรับทิศนโยบาย ผ่านการชะลอขึ้นดอกเบี้ยและการเพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในระบบ
ถ้าเป็นแบบที่ตลาดคาดการณ์ กล่าวคือ Fed กลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกครั้ง ภาวะเงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้น ซึ่งอาจซ้ำเติมปัญหาความเชื่อมั่นในระบบการเงินแบบเก่า และอาจส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินไปพักในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำและบิตคอยน์
แต่ในทางกลับกัน ถ้า Fed กลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อน แต่สามารถคุมเงินเฟ้อได้อย่างเหมาะสม ก็อาจเรียกความเชื่อมั่นในระบบการเงินกลับมา ถึงตอนนั้น ราคาสินทรัพย์ทางเลือกก็อาจลดความร้อนแรงลงไป